INTRODUCTION
หลายครั้งที่เราเห็นผลงานศิลปะ หรืออาคารของตะวันตก สิ่งเหล่านี้ล้วนมีที่มาและเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงรากเหง้าสถาปัตยกรรมก็เช่นกัน สถาปัตยกรรมเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงวัฒณธรรมของสังคมในช่วงเวลานั้น เพราะอาคารต้องตอบสนองต่อการใช้งานได้ และรูปลักษณ์ความสวยงามในแบบที่นิยมสมัยนั้นก็เช่นกัน ในแต่ละยุคสมัยคนเราย้อมมองความสวยงามแตกต่างกัน แต่จะมีความสวยงามรูปแบบหนึ่งที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าสวยงาม
ดังนั้นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน ศิลปินหรือนักออกแบบได้แสวงหาวิธีการ จนในที่สุดก็ได้กำเนิดรูปแบบของการออกแบบขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า “ทฤษฎีในการออกแบบ” และในยุคสมัยหนึ่งก็ได้มีรูปแบบของงานสถาปัตกรรมขึ้นมา เรียกว่า Gothic Revival Style
ดังนั้นแนวทางในการสร้างสรรค์ผลงาน ศิลปินหรือนักออกแบบได้แสวงหาวิธีการ จนในที่สุดก็ได้กำเนิดรูปแบบของการออกแบบขึ้น หรือเรียกอีกอย่างว่า “ทฤษฎีในการออกแบบ” และในยุคสมัยหนึ่งก็ได้มีรูปแบบของงานสถาปัตกรรมขึ้นมา เรียกว่า Gothic Revival Style
CONTENTS
- ประวัติความเป็นมาของทฤษฏี (Theories Background)
- ผู้บุกเบิกแนวคิดและทฤษฏี (Theorist)
- ปรัชญาหรือเนื้อความของทฤษฏี (Theories Philosophy)
- การตีความหมายของทฤษฏี (Theories Interpretation)
- ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรม (Application of Architecture Theories)
- การวิเคราะห์กรณีศึกษา (Case Study of Architecture Analysis)
- อ้างอิง (References)
- เกี่ยวกับผู้เขียน (Profile)
ประวัติความเป็นมาของทฤษฏี (Theories Background)
ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยเป็นสังคมจึงเกิดเป็นชุมชน ชนเผ่า เมือง โดยแต่ละกลุ่มสังคมจะมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมในภูมิประเทศต่าง โกธิคเองก็เช่นกัน มีจุดเริ่มต้นมาจากชุมชน และเติบโตต่อมาจนกลายเป็นวัฒณธรรมอย่างหนึ่งไป โดยรวมแล้วโกธิคแบ่งออกได้ 3 ยุคหลัก คือ
- ยุคจักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) ปี ค.ศ. 200 – 300 โกธิคเดิมทีเป็นชื่อของชนเผ่าหนึ่งที่ชื่อว่า Goth มีถิ่นฐานอยู่ทางตอนเหนือของยุโรป และในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่มีการสู้รบกันเองภายในชนเผ่าและรบกับโรมันด้วยเช่นกัน จึงแยกออกมาเป็น 2 เผ่า คือVisigoth ตะวันตก ( ฟินแลนด์/ สวีเดน ) Ostrogoth ตะวันออก ( เยอร์มัน/โปแลนด์ )
- ยุคกลาง ( Middle Age) ปี ค.ศ.1000 เป็นช่วงที่ศิลปะแนวโกธิครุ่งเรืองไปทั่วยุโรป เป็นช่วงที่พระศาสนาจักรมีความรุ่งเรื่อง พระสันตะปาปามีอำนาจเหนือยิ่งกว่ากษัตริย์ ทำให้เกิดการสร้างวิหาร โบสถ์ ปราสาท อาคารสาธารณะที่เกี่ยวข้องกับศาสนาขึ้นเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ที่สำคัญในช่วงนี้คือเป็นช่วงที่เกิดสงครามขึ้นบ่อยครั้ง เช่น สงครามศาสนา
- ยุคฟื้นฟูโกธิค (Gothic Revival) ปี ค.ศ.1800 เป็นยุคที่นำศิลปะหลายๆรูปแบบกลับมาใช้ใหม่ ด้วยวิธีการใหม่ๆที่ทันสมัยขึ้นและได้อิทธิพลจากยุค Renaissance เพราะในช่วงเวลานั้นได้เห็นว่าโกธิคช่วงยุคกลางมีความสำคัญ มีคุณค่าและเอกลักษณ์เฉพาะตัว จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติอุสาหกรรมขึ้น ( Industrial Revolution ) งานออกแบบจึงเข้าสู่ยุค Modern ในเวลาต่อมา
ผู้บุกเบิกแนวคิดและทฤษฎี (Theorist)
- Carlo Rainaldi (1646) สถาปนิกชาวอีตาลีที่นำรูปแบบของ Vault ในสมัยของ Baroque มาใช้และพัฒนาต่อ ในการสร้างวิหาร Basilica of San Petronio ที่โบโลญ่า เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดสถาปัตยกรรมโกธิคขึ้น
- Guarino Guarini (1700) ผู้ที่นิยามองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมแบบโกธิค (Gothic Order) ว่าต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้างในระบบ และนำองค์ประกอบเหล่านั้นมาใช้ในงานของตน เพื่อพัฒนาต่อมา
- Alexandre de Laborde (1816) นักเขียนชาวฝรั่งเศสได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรมแบบโกธิค โดยมีชื่อเรื่องว่า "Gothic architecture has beauties of its own" ซึ่งเป็นการจุดประกายให้เกิดยุคฟื้นฟูสถาปัตยกรรมโกธิตในเวลาต่อมา
ปรัชญาหรือเนื้อความของทฤษฏี (Theories Philosophy)
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิค คือการนำสถาปัตกรรมโกธิคมาใช้ในงานออกแบบ โดยทั่วไปแล้วอาคารในงานโกธิคจะเป็นอาคารที่เน้นเส้นตั้ง และแสง ประกอบกับการออกแบบที่บูรณาการระหว่างความรู้ทางสถาปัตยกรรม กับวิศวกรรมได้อย่างลงตัว เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในงานสถาปัตยกรรม ที่เปลี่ยนอาคารที่ต้องมีกำแพงหนาทึบเป็นโครงสร้างที่ดูเบาขึ้น และบางขึ้น
องค์ประกอบที่ต้องมีของสถาปัตกรรมแบบโกธิค (Gothic Order)
- การวางผังแบบ Latin Cross Plan หรือแบบ Cruciform Plan
- ลักษณะโครงสร้างแบบ Pointed Arch
- ลักษณะอาคารเป็นอาคารที่มีความสูง
- มีการใช้องค์ประกอบที่เน้นเส้นตั้ง
- มีการใช้แสงเป็นองค์ประกอบหลักของอาคาร
- ความสง่าต้องแสดงออกมาให้รับรู้ได้โดยทั่วกัน
การวางผังแบบ Latin Cross Plan หรือแบบ Cruciform Plan
รูปร่างของผังจะมีแกนกลาง ที่เรียกว่า Nave ในวิหารขนาดใหญ่จะมีองค์ประกอบของแกนกลางเพิ่มขึ้นมาขนาบ เรียกว่า Aisle บริเวณแขนทั้งสองข้างเป็นพื้นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแยกต่างหากในเวลาที่มีพิธีกรรมย่อยเรียกว่า Transept บริเวณจุดที่ตัดกันตรงกลาง เรียกว่า Crossing เป็นจุดที่สำหรับทำพิธีกรรมหลัก ส่วนบริเวณแท่นประกอบพิธีกรรม โถงขนาดใหญ่ เรียกว่า Choir และจะเรียงรายด้วยแท่นเล็กๆเพื่อเคารพ หรือเตรียมพิธีกรรม ด้วย Ambulatory และ Chevette ส่วน Tower บริเวณยอดจะเป็นหอระฆัง และส่วนของทางเข้าจะแยกออกเป็น 2 ด้านคือ Narthex (ทางเข้าหลัก) และ Porch (ทางเข้ารอง) |
ลักษณะโครงสร้างแบบ Pointed Arch
รูปของ Pointed Arch เป็นการพัฒนาโครงสร้างมาจาก Arch ทีให้มีความสูงเพิ่มขึ้นและมีความยืดหยุ่นทางโครงสร้างมากขึ้น ในสถาปัตกรรมโกธิคได้นำรูปแบบนี้ไปใช้กับองค์ประกอบส่วนใหญ่เช่น ช่องเปิด ประตู โถงทางเดิน โครงสร้างหลังคา
เมื่อความสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีแรงกระทำด้านข้างมากขึ้นจึงต้องมีค้ำยัน คอยถ่ายแรงเพื่อให้โครงสร้างสามารถอยู่ได้ จุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ สถาปัตยกรรมแบบโกธิคสร้างได้สูงและดูบาง ค้ำยันเรียกว่า Buttress ส่วนค้ำยันลอยเรียกว่า Flying Buttress
เมื่อความสูงที่เพิ่มขึ้น ทำให้มีแรงกระทำด้านข้างมากขึ้นจึงต้องมีค้ำยัน คอยถ่ายแรงเพื่อให้โครงสร้างสามารถอยู่ได้ จุดนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ สถาปัตยกรรมแบบโกธิคสร้างได้สูงและดูบาง ค้ำยันเรียกว่า Buttress ส่วนค้ำยันลอยเรียกว่า Flying Buttress
ลักษณะอาคารเป็นอาคารที่มีความสูง
สถาปัตยกรรมโกธิคเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงความเชื่อว่าสถานที่เหล่านี้เป็นสวรรค์ ดังนั้นต้องมีความสูงในการออกแบบอยู่อัตรส่วน 2:1 หรือมากกว่านั้น ความสูงที่อาคารทำได้ในยุคนั้นถือว่าสูงมาก เช่น Lincoln Cathedral (1854) ที่มีความสูงถึง 160 เมตร |
มีการใช้องค์ประกอบที่เน้นเส้นตั้ง
มีการใช้แสงเป็นองค์ประกอบหลักของอาคาร
ความสง่าต้องแสดงออกมาให้รับรู้ได้โดยทั่วกัน
รูปร่างและรูปแบบพื้นฐานของสถาปัตยกรรมโกธิค
- Lancet arch เป็น Arch ที่แคบที่สุด
- Equilateral arch เป็น Arch ที่มีความกว้างขึ้นมาแต่ยังคงในอัตราส่วนสามเหลี่ยมหน้าจั่วอยู่
- Flamboyant arch เป็นการประกอบกันของ Arch หลายตัว สามารถสร้างช้องเป็ดบนยอด Arch ได้อีก
- Depressed arch เป็น Arch ที่มีส่วนยอดสั้นที่สุด ส่วนใหญ่ใช้กับโถงทางเดิน Nave เพื่อรับโครงสร้างหลังคา
การตีความหมายของทฤษฏี (Theories Interpretation)
| สถาปัตกรรมฟื้นฟูโกธิค คือการนำองค์ประกอบของโกธิคแบบเดิม มาประยุกต์ใช้เพื่อตอบสนองต่อสังคมในประเภทอาคารรูปแบบใหม่ หรือพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก เช่น อาคารสูงในรูปลักษณ์แบบโกธิค สะพานข้ามแม่น้ำ วิหารที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาก |
ตัวอย่างงานสถาปัตยกรรม (Application of Architecture Theories)
การวิเคราะห์กรณีศึกษา (Case Study of Architecture Analysis)
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคในประเทศอังกฤษ
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคได้แพร่หลายไปที่ประเทศอังกฤษเมื่อ Sir Horace Walpole ได้ทำการปรับปรุงบ้านพักอาศัยที่เมืองStrawberry Hillโดยใช้ส่วนประกอบของสถาปัตยกรรมแบบโกธิค เช่น Arch หน้าต่างและลวดลายประดับประดา พอถึงคริสตศตวรรษที่ 18 ก็กลายเป็นที่นิยม บ้านเรือนในอังกฤษก็นิยมทำแบบแบบโกธิค โดยลอกเลียนรูปร่างอาคารมาจากโบสถ์และปราสาทเก่าแก่ และยังนิยมไปถึงควีนวิคตอเรีย ก็ทรงชื่นชอบความน่าตื่นตาตื่นใจของสถาปัตยกรรมแบบ Gothic Revival style
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคในประเทศสหรัฐอเมริกา
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคมีรากฐานมาตั้งแต่คริสตศตวรรษที่ 18 แต่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในอเมริกาในปีค.ศ.1840-1850 ดังจะเห็นได้จากภาพวาดในด้านล่างที่ปรากฏสถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคด้านหลังของภาพ ภาพGrant Wood: American Gothic, 1930 (Art Institute of Chicago). The house still stands,in Eldon, Iowa. (ภาพซ้าย) สถาปนิกอเมริกันชื่อ Andrew Jackson Downing ได้ทำการเผยแพร่ในหนังสือชื่อ Cottage Residences (1842)และสถาปนิกชื่อ Lewis Allenในหนังสือของเขาชื่อ Rural Architecture (ภาพซ้ายล่าง) สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคมีความละเอียดละออในการประดับประดาตกแต่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมในยุคกลาง เช่น รูปแบบหน้าต่างที่มีการประดับกระจกสี ยอดโค้งแหลมหรือ Pointed Arches และรูปทรงอาคารที่เปลี่ยนไป |
สถาปัตยกรรมฟื้นฟูโกธิคในประเทศไทย
วัดนิเวศธรรมประวัติ จังหวัดอยุธยา
| วัดนิเวศธรรมประวัติราชวรวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่ที่ ตำบลบ้านเลน อำเภอบางปะอิน พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดในสังกัดคณะสงฆ์ธรรมยุต สร้างขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงใช้เป็นสถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อเสด็จฯ แปรพระราชฐานมาประทับที่พระราชวังบางปะอิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเลียนแบบโบสถ์ฝรั่ง เป็นศิลปะแบบโกธิค (Gothic) พระอุโบสถของวัดนั้นสร้างเลียนแบบโบสถ์ในคริสต์ศาสนา โดยภายในประดิษฐาน "พระพุทธนฤมลธรรโมภาส" เป็นพระประธาน ออกแบบโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ โดยลักษณะที่ผสมผสานศิลปะแบบประเพณีนิยม และศิลปะแบบตะวันตกเข้าด้วยกัน ซึ่งมีพุทธลักษณะคล้ายสามัญชน นอกจากนี้ บริเวณฐาน ชุกชีก็มีลักษณะเหมือนที่ตั้งไม้กางเขนแบบโบสถ์ และฝาผนังโบสถ์ด้านหน้าของพระประธานนั้น เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 ที่ประดับด้วยกระจกสี |
โบสถ์แม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์)
โบสถ์แม่พระลูกประคำ (กาลหว่าร์)กรุงเทพฯ หลังที่ 3(หลังปัจจุบัน) สร้างในปี ค.ศ.1891(พ.ศ. 2434) สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ตั้งซอยวานิช 2 ถนนโยธา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
ในสมัยก่อนชาวต่างประเทศเดินทางมาไกลบ้านไกลเมือง ไม่มีโบสถ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา จึงได้มีกลุ่มคริสตศาสนิกชน ซี่งมีชาวโปรตุเกสเป็นส่วนใหญ่ได้รวมตัวกันสร้างโบสถ์หลังแรกขึ้น โบสถ์ปัจจุบันนับเป็นโบสถ์หลังที่สามที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน โบสถ์ตั้งอยู่บริเวณตลาดน้อย ชุมชนของชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่มาโบสถ์จึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตซึ่งเป็นชาวตะวันตก และในเวลาต่อมาได้เดินทางกลับบ้านเมืองหรือย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิค ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า วัดกาลหว่าร์ หรือชื่อทางการว่า วัดแม่พระลูกประคำ ตั้งอยู่บริเวณตลาดน้อยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยา ย่านชุมชนชาวจีนตลาดน้อย เป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก สร้างโดยสัตบุรุษชาวโปรตุเกสที่แยกตัวมาจากชุมชนกุฎีจีน ฝั่งธนบุรี ในภายหลังผู้อุปถัมภ์วัดส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเข้ารีตที่อาศัยอยู่ในย่านชุมชนตลาดน้อยชื่อ “กาลหว่าร์” ตั้งตามชื่อภูเขาที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน คือ "กาลวารีโอ" รัชกาลที่ 1 พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์หลังแรกในปี พ.ศ.2329
ในสมัยก่อนชาวต่างประเทศเดินทางมาไกลบ้านไกลเมือง ไม่มีโบสถ์เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา จึงได้มีกลุ่มคริสตศาสนิกชน ซี่งมีชาวโปรตุเกสเป็นส่วนใหญ่ได้รวมตัวกันสร้างโบสถ์หลังแรกขึ้น โบสถ์ปัจจุบันนับเป็นโบสถ์หลังที่สามที่สร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน โบสถ์ตั้งอยู่บริเวณตลาดน้อย ชุมชนของชาวไทยเชื้อสายจีนเป็นส่วนใหญ่ ผู้ที่มาโบสถ์จึงเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตซึ่งเป็นชาวตะวันตก และในเวลาต่อมาได้เดินทางกลับบ้านเมืองหรือย้ายถิ่นฐานไปที่อื่นตัวโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิค ซึ่งคนทั่วไปเรียกว่า วัดกาลหว่าร์ หรือชื่อทางการว่า วัดแม่พระลูกประคำ ตั้งอยู่บริเวณตลาดน้อยริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฝั่งพระนคร ในบริเวณโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยา ย่านชุมชนชาวจีนตลาดน้อย เป็นโบสถ์ศาสนาคริสต์ นิกายคาทอลิก สร้างโดยสัตบุรุษชาวโปรตุเกสที่แยกตัวมาจากชุมชนกุฎีจีน ฝั่งธนบุรี ในภายหลังผู้อุปถัมภ์วัดส่วนใหญ่เป็นชาวจีนเข้ารีตที่อาศัยอยู่ในย่านชุมชนตลาดน้อยชื่อ “กาลหว่าร์” ตั้งตามชื่อภูเขาที่พระเยซูถูกตรึงไม้กางเขน คือ "กาลวารีโอ" รัชกาลที่ 1 พระราชทานที่ดินให้สร้างโบสถ์หลังแรกในปี พ.ศ.2329
โบสถ์ที่เห็นปัจจุบันเป็นหลังที่ 3 สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี พ.ศ.2434 แล้วเสร็จในปี พ.ศ.2441 ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโกธิก (Gothic) ซึ่งเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ลักษณะเด่นคือ ยอดอาคารหรือซุ้มประตูหน้าต่างเป็นรูปโค้งแหลม สูงเพรียวชะลูดพุ่งขึ้นฟ้า ตามช่องหน้าต่างประดับประดาด้วยกระจกสีเป็นเรื่องราวในพระคัมภีร์ ส่วนหน้าทำเป็นยอดแหลมสูง บนยอดประดับไม้กางเขน ให้ความรู้สึกสวยงาม และคริสตศาสนิกชนที่กำลังประกอบพีธีการแสดงออกถึงความเลื่อมใส ศรัทธา ทำให้เรานั้นก็ได้สัมผัสถึงความสงบ
ประวัติความเป็นมาของโบสถ์
คริสตังชาวโปรตุเกสที่หลบหนีทหารพม่าที่บุกเข้ามาที่อยุธยา ซึ่งไม่ยอมรับมิสชชันนารีฝรั่งเศส แต่ยอมรับบาทหลวงชาวโปรตุเกส ได้แยกไปอยู่บริเวณที่ว่างเปล่าซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดในปัจจุบัน โดยตั้งชื่อว่า “ค่ายแม่พระลูกประคำ”ตามชื่อรูปแม่พระที่นำมาจากอยุธยา ในช่วงแรกคริสตังในค่ายนี้ยังไม่มีวัดเป็นของตนเอง อีกทั้งไม่มีบาทหลวงโปรตุเกสมาปกครองดูแล จึงจำเป็นต้องเดินทางไปร่วมพิธีทางศาสนาที่วัดซางตาครู้ส ต่อมาในปี ค.ศ.1786 พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานที่ดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ให้สร้างโบสถ์ จึงได้มีการสร้างโบสถ์หลังแรกบนที่ดินนี้ โบสถ์หลังแรกนี้สร้างด้วยไม้ยกพื้นสูงเพื่อหนีน้ำท่วมที่มีประจำบริเวณนี้ชื่อโบสถ์ว่า โบสถ์กาลหว่าร์มาจากชื่อรูปพระตายที่นำมาจากอยุธยา คำว่า กาลหว่าร์ คือสถานที่ที่ได้ทำการตรึงกางเขนพระเยซูเจ้าจึงเรียกชื่อรูปพระตายว่า กาลหว่าร์ คริสตังโปรตุเกสได้ขอให้พระอัครสังฆราชแห่งเมืองกัวมาปกครอง แต่ทางเมืองกัวไม่ยอมส่ง โดยมีเหตุผลว่าพวกเขามีผู้ปกครองอยู่แล้ว คือพระสังฆราชชาวฝรั่งเศส ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา ดังนั้น คริสตังโปรตุเกสจึงยอมรับอำนาจการปกครองของมิชชันนารีฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1839 สร้างโบสถ์หลังใหม่ โดยตั้งชื่อว่า วัดแม่พระลูกประคำ แต่ชาวจีนยังคงเรียกว่า วัดกาลหว่าร์ เนื่องจากในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1864 ได้เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ทำลายบ้านพักบาทหลวง ตัวโบสถ์ไม่เสียหาย แต่หลักฐานทุกอย่างของวัดได้ถูกทำลายไปได้มีการสร้างโบสถ์หลังที่ 3 (หลังปัจจุบัน) ในสมัยพระสังฆราชเวย์โดยเริ่มสร้างปี ค.ศ.1891 สร้างเสร็จมีลักษณะสถาปัตยกรรมตะวันตกแบบโกธิค โดยบาทหลวงแดชาลส์ สร้างเสร็จในปี 1897 เสียค่าก่อสร้างไปทั้งสิ้น เจ็ดหมื่นเจ็ดพันบาท ได้ทำการบูรณะทาสีในปี ค.ศ.1957 และได้รับการบูรณะซ่อมแซมปรับปรุงสภาพของตัวโบสถ์และลวดลายประดับต่าง ๆ ในปี ค.ศ.1985 และยังคงมีสภาพตัวอาคารที่สมบูรณ์จนถึงปัจจุบัน |
ลักษณะสถาปัตยกรรม
การเจาะช่องเปิดต่าง ๆ ของอาคาร ผนังด้านทิศตะวันตกซึ่งเป็นด้านหน้าของโบสถ์มีช่องเปิด 3 ช่อง ทางด้านหน้าและด้านข้างทั้ง 2 ข้างอีกด้านละ 1 ช่อง เพื่อเข้าสู่ตัวอาคารบริเวณโถงทางเข้า และจากโถงทางเข้าสู่ภายในโบสถ์ เจาะช่องประตู 3 ช่อง โดยมีช่องกลางเป็นประตูใหญ่ และมีช่องริม ทั้ง 2 ข้างเป็นประตูเล็กข้างละ 1 ประตู ผนังด้านทิศเหนือและทิศใต้มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นผนังยาวโดยมีแนวเสาเก็จ แบ่งผนังออกเป็น 9 ช่วงเสา (BAY) โดยในช่วงเสา 2 ช่วง เสาแรก ถัดจากโถงทางเข้า ผนังทั้ง 2 ช่วงเสา (BAY) ยื่นเป็นมุขหลายเหลี่ยมออกด้านข้าง ภายในมุขยื่นนี้แบ่งผนังออกเป็น 3 ด้าน ผนังกลางของด้านทั้ง 3 เจาะช่องหน้า 2 ช่องและผนังข้างทั้ง 2 ด้านเจาะช่องหน้าต่างด้านละ 1 ช่อง ช่วงเสาที่ 7 ยื่นเป็นมุข (TRANSEPT) ภายในมุขยื่นผนังด้านข้างเจาะ ช่องหน้าต่างขนาดเล็กข้างละ 1 ช่อง ส่วนผนังกลางเจาะช่องหน้าต่างขนาดเดียวกัน หน้าต่างผนังห้องอื่นทั่วไป ส่วนด้านหลังพระแท่นภายในห้องซาคริสเตียน (SACRISTY) แบ่งออกเป็น 3 ห้อง มีการเจาะช่องประตูทั้งทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ ข้างละ 1 ประตูและเจาะช่องหน้าต่างตามแนวผนัง ผนังด้านทิศตะวันออกเจาะช่องหน้าต่าง 3 ช่องจากห้องซาคริสเตียนห้องกลางเจาะช่องสำหรับเดินออกมาหลังแนวตู้ศีล | ผังอาคารมีลักษณะผังเป็นแบบกางเขนโรมัน (ROMAN CROSS) หรือละติน (LATIN CROSS) ขนาดกว้าง 23.03 เมตร ยาว 50.65 เมตร ลักษณะผังเป็นแบบสมมาตร ตัวอาคารวางตัวยาวตามแนวตะวันออก กับ ตะวันตก โดยหันหน้าโบสถ์ลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านทิศตะวันตก ภายในผังแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหน้าเป็นโถงทางเข้า (NARTHEX) โดยส่วนบนของโถงทางเข้าเป็นหอระฆัง ส่วนกลางเป็นส่วนของที่ร่วมชุมนุมประกอบพิธีกรรม และส่วนด้านหลังของพระแท่นเป็นส่วนเก็บของศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรม ที่เรียกว่า ซาคริสเตียน (SACRISTIA) ทั้ง 3 ส่วนรวมอยู่ในโครงสร้างของอาคารเดียวกัน ภายในโบสถ์เป็นโถงโล่งมีเสาลอย 2 คู่ คือ อยู่ในแนวห้องแรกสำหรับรับพื้นบริเวณนักขับชั้นลอย 1 คู่ และบริเวณหน้าพระแท่น 1 คู่ องค์ประกอบภายในผังของส่วนร่วมชุมนุมประกอบพิธีกรรม แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนศักดิ์สิทธิ์ (HOLY OF HOLY) ประกอบไปด้วยพระแท่นบูชา ตู้เก็บศีลมหาสนิท ที่อ่านบทอ่าน ที่อ่านพระคัมภีร์ (สำหรับประกอบพิธีภาควจนพิธีกรรม) ที่นั่งประธาน โต๊ะสำหรับเตรียมเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ บริเวณมุขยื่น (TRANSEPT) เป็นที่ตั้งแท่นเล็ก (CHAPEL) พื้นที่ส่วนที่สองคือ ส่วนที่ชุมนุมของสัตบุรุษ ประกอบไปด้วย ธรรมาสน์เก่า แนวทางเดินกลาง เก้าอี้นั่งของสัตบุรุษ ที่จุ่มน้ำเสกก่อนเข้าโบสถ์ บริเวณที่ฟังแก้บาป และบันไดเวียนสำหรับขึ้นชั้นลอยสำหรับนักขับ และเป็นทางขึ้นสู่ยอดหอระฆัง ในการแบ่งพื้นที่ใช้การยกระดับของพื้นแสดงขอบเขตโดยพื้นที่เป็นส่วนที่มีความสำคัญกว่าจะมีการยกระดับให้สูงขึ้น |
รูปแบบอาคาร
มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก รูปทรงอาคารเป็นแท่งสี่เหลี่ยมมีมุขยื่น 2 ข้าง ข้างละ 2 มุข ด้านสกัดแคบยาวออกไปทางด้านหลัง ด้านหน้า แบ่งเป็น 3 ช่วงด้วยแนวเสาเก็จ ประกอบด้วยประตูโค้งแหลม 3 ประตูส่วนล่าง และหน้าต่างกลมกรุกระจกสี 3 ข้าง เหนือประตูริม เน้นช่วงกลางด้วยหอคอยสูง 4 ชั้น ยอดกรวยแหลมสูง และจั่วซุ้มประตู ยื่นออกจากระนาบผนังด้านหน้า หน้าจั่วเป็นลายปูนปั้น ยอดจั่วเป็นซุ้มตั้งรูปแม่พระ ส่วนบนช่วงกลางของด้านหน้าเจาะหน้าต่างกลม (ROSE WINDOW) ขนาดใหญ่ หอสูงชั้นที่ 3 มีลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเจาะหน้าต่างโค้งแหลม 1 คู่ ติดบานเกร็ด ชั้นบนเป็นแท่งแปดเหลี่ยมแต่ละด้านเจาะหน้าต่างโค้งแหลมด้านละ 1 ด้าน ผนังด้านหน้าทุกชิ้นแบ่งด้วยลวดบัว รอบ ๆ ยอดของหอคอยสูงเป็นลูกกรงระเบียงล้อมรอบเหนือแนวเสาเก็จเป็นยอดแหลม (PINNACAL)
ด้านข้าง แบ่งเป็น 11 ช่วงเสา หน้าต่างช่วงล่างเป็นโค้งแหลม หน้าต่างช่วงบนเป็นหน้าต่างกลม แต่ละช่วงแบ่งเป็น 2 ชั้นด้วยลวดบัว ช่วงเสาที่ 2 และที่ 3 นับจากโถงด้านหน้ายื่นออกเป็นมุข 1 คู่และช่วงเสาที่ 8 ยื่นออกเป็นมุข (TRANSEPT) 1 คู่และที่ปลายสุดของอาคารยื่นออกเป็นมุขหลายเหลี่ยม มุขทั้งหมดสูงชั้นเดียว ผนังของมุข เจาะหน้าต่างโค้งแหลม ขนาดเล็กกว่าหน้าต่างผนังอาคาร ยอดบนของเสาเก็จทุกด้านเป็นยอดแหลม (PINNACAL) ระหว่างยอดแหลมเชื่อมด้วยราวลูกกรงระเบียง ด้านข้างของอาคารจะมีลักษณะเด่นของการเจาะช่อง และการแบ่งผนังด้วยเสาเก็จในทางตั้งและลวดบัวในทางนอน หลังคาตัวอาคารเป็นจั่วขนาดใหญ่ คลุมยาวตลอดตัวอาคาร ส่วนมุขส่วนหน้าและท้ายอาคารมีหลังคาโค้งคลุมเฉพาะ ส่วนมุขช่วงเสาที่ 8 อยู่ระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์ กับส่วนชุมนุมเป็นหลังคาจั่วเปิดเล็ก ๆ สูงเท่าระดับตัวอาคารหน้าบันเจาะช่องหน้าต่างกลมประดับกระจกสี ขอบของจั่วเป็นลายปูนปั้นคล้ายใบอะแคนทัส ยอดจั่วมีลักษณะเป็นยอดอ่อนของต้นไม้
ด้านข้าง แบ่งเป็น 11 ช่วงเสา หน้าต่างช่วงล่างเป็นโค้งแหลม หน้าต่างช่วงบนเป็นหน้าต่างกลม แต่ละช่วงแบ่งเป็น 2 ชั้นด้วยลวดบัว ช่วงเสาที่ 2 และที่ 3 นับจากโถงด้านหน้ายื่นออกเป็นมุข 1 คู่และช่วงเสาที่ 8 ยื่นออกเป็นมุข (TRANSEPT) 1 คู่และที่ปลายสุดของอาคารยื่นออกเป็นมุขหลายเหลี่ยม มุขทั้งหมดสูงชั้นเดียว ผนังของมุข เจาะหน้าต่างโค้งแหลม ขนาดเล็กกว่าหน้าต่างผนังอาคาร ยอดบนของเสาเก็จทุกด้านเป็นยอดแหลม (PINNACAL) ระหว่างยอดแหลมเชื่อมด้วยราวลูกกรงระเบียง ด้านข้างของอาคารจะมีลักษณะเด่นของการเจาะช่อง และการแบ่งผนังด้วยเสาเก็จในทางตั้งและลวดบัวในทางนอน หลังคาตัวอาคารเป็นจั่วขนาดใหญ่ คลุมยาวตลอดตัวอาคาร ส่วนมุขส่วนหน้าและท้ายอาคารมีหลังคาโค้งคลุมเฉพาะ ส่วนมุขช่วงเสาที่ 8 อยู่ระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์ กับส่วนชุมนุมเป็นหลังคาจั่วเปิดเล็ก ๆ สูงเท่าระดับตัวอาคารหน้าบันเจาะช่องหน้าต่างกลมประดับกระจกสี ขอบของจั่วเป็นลายปูนปั้นคล้ายใบอะแคนทัส ยอดจั่วมีลักษณะเป็นยอดอ่อนของต้นไม้
ภายในโบสถ์เป็นโถงโล่งขนาดใหญ่ มีทางเดินกลางเชื่อมจากด้านนอกสู่ด้านใน บริเวณแท่นบูชา มีโค้งแบบประตูชัยโรมันขนาดใหญ่ แบ่งที่ว่างระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์กับส่วนชุมนุมของสัตบุรุษ ด้านหน้าจากประตูทางเข้า มีเสากลม 2 กลุ่มรับพื้นชั้นลอย ซึ่งอยู่ด้านหน้าทำให้ระนาบของเพดานด้านหน้านี้ต่ำกว่าด้านใน มีลวดลายพื้นที่ปูด้วยกระเบื้องซีเมนต์ลายแบ่งระหว่างทางเดินและบริเวณที่นั่งของสัตบุรุษ พื้นบริเวณส่วนศักดิ์สิทธิ์และปีกมุขเป็นพื้นหินอ่อน ลักษณะผนังภายใน เจาะช่องหน้าต่างเหมือนภายนอก หากแต่เห็นความหนาของผนังอาคารบริเวณที่เชื่อมกับมุข เจาะเป็นช่องโค้งแหลมขนาดใหญ่ตกแต่งด้วยลวดบัว ส่วนล่างของผนังเจาะเป็นช่องโค้งแหลมต่อกันเป็นช่วงๆ ส่วนบนของผนังเจาะช่องระบายอากาศกลมลวดบัวและประดับด้วยลายเถาองุ่นทำสีปิดทองบางส่วนโดยรอบผนังทุกด้าน ผนังบริเวณหัวโบสถ์เป็นผนังโค้ง มีเสากลมปิดทอง 4 ด้าน แบ่งผนังเป็นช่วง ๆ ผนังช่วงกลางเป็นช่องเว้า (NICHE) ขนาดใหญ่ตั้งรูปแม่พระ ส่วนด้านข้างเป็นช่องเว้าขนาดเล็กตั้งรูปนักบุญยาโกเบ และนักบุญเบเนดิกโต ข้างละ 1 องค์ ส่วนล่างของผนังเป็นช่องประตูเปิดเข้า-ออกห้องซาคริสเตียนด้านหลัง ผนังส่วนหน้าชั้นระหว่างบริเวณส่วนศักดิ์สิทธิ์กับส่วนชุมนุม ส่วนบนเจาะช่องเว้า (NICHE) ตั้งรูปนักบุญเยโรมีโนและนักบุญอันนา ส่วนช่วงล่างเป็นช่องทางเดิน แต่เดิมระหว่างส่วนศักดิ์สิทธิ์และส่วนชุมนุมจะมีรั้วเตี้ยกั้นแบ่งไว้เฉพาะ แต่ปัจจุบันได้รื้อออกแล้ว ภายในโบสถ์จะมีส่วนของธรรมาสน์เก่า อยู่บริเวณด้านซ้ายมือค่อนไปทางด้านหน้าลักษณะฝ้าเพดานมีการตกแต่งเขียนสีเห็นโครงสร้างหลังคาบางส่วนโดยเน้นส่วนโครงสร้างหลังคาด้วยสีน้ำตาลเข้ม
ฝ้าแบ่งเป็นช่วง ๆ ฝ้าส่วนที่นั่งสัตบุรุษส่วนกลางเป็นลายดวงดาวอยู่ในวงกลมและที่รอบทั้ง 4 ด้านมีรูปสัญลักษณ์เอ็ม 2 ตัวซ้อนกัน หมายถึง แม่พระ ส่วนฝ้าเพดานบริเวณหัวโบสถ์เป็นฝ้าโค้ง เห็นโครงสร้างของหลังคาบางส่วนแบ่งฝ้าเป็นช่วง ๆ โดยแต่ละช่วงเป็นสัญลักษณ์ หมายถึง แม่พระ (ซ้ายไปขวา) ปราสาทดาวิด สำนักพระญานสุขุม ดาวประจำรุ่ง หีบพระบัญญัติ กุหลาบสวรรค์ เคหะทองคำ ภาชนะยอดศรัทธา ปราสาทงา แต่ละชื่อมีความหมายเฉพาะ ลวดลายต่าง ๆ เป็นการเขียนสี และปิดทอง ในแนวฝ้าโดยรอบที่เชื่อมกับผนังเป็นลายซุ้มโค้งแหลมต่อกันเป็นแนวทั้งอาคารภายใน อาคารมีช่องหน้าต่างกระจกสีกว้างและสูงทำให้ภายในมีบรรยากาศที่ค่อนข้างโปร่งและได้ความสว่างจากแสงภายนอก |
เทคนิคการก่อสร้าง
ตัวอาคารผนังก่ออิฐฉาบปูนโครงสร้างอาคารเป็นแบบผนังรับน้ำหนัก (BEARING WALL) โดยมีเสาเก็จ หรือผนังยัน ที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มความหนาของผนังช่วงที่ต้องรับโครงสร้างหลังคาทำให้สามารถช่วยรับแรงถีบจากโครงสร้างหลังคาได้ สามารถเจาะช่องหน้าต่างได้กว้าง โครงสร้างหลังคาเป็นโครงสร้างไม้ลักษณะเป็นโครงถัก มีการใช้ลวดสลิงขนาดใหญ่ดึงระหว่างโครงสร้างแทนการใช้ไม้ ส่วนของโครงบริเวณหัวโบสถ์มีลักษณะเป็นโวลท์ครึ่งซีก |
โบสถ์เซนต์หลุยส์
หลังจากที่คุณพ่อหลุยส์ โชแรง ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชปกครองมิสซังกรุงเทพฯ ต่อจากพระสังฆราชเรอเน แปร์รอสแล้ว ท่านโชแรงได้ย้ายสำนักพระสังฆราชจากวัดอัสสัมชัญมาสร้างที่บริเวณใกล้กับโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ (ปัจจุบัน คือ สำนักพระสมณทูต) ท่านสังเกตเห็นว่ามีคริสตังแถบเซนต์หลุยส์อยู่จำนวนมากที่ต้องไปร่วมพิธีกรรมที่วัดอื่นๆ เช่นวัดอัสสัมชัญ, วัดกาลหว่าร์ ซึ่งวัดที่กล่าวมานี้ก็มีสัตบุรุษมากอยู่แล้ว ดังนั้นในวันที่ 1 พฤศจิกายน 1955 ท่านจึงประกาศว่าท่านตั้งใจที่จะสร้างวัดเซนต์หลุยส์บนที่ดินที่พระสังฆราชหลุยส์ เวย์ กับคุณพ่อหลุยส์ โรมิเออ ซื้อไว้เมื่อปี 1895 ซึ่งท่านทั้งสองตั้งใจจะให้ที่ดินตรงนี้เป็นที่ตั้งของวัดใหญ่ในอนาคต
ในวันที่ 25 สิงหาคม 1956 มีพิธีเสกไม้กางเขนปักไว้ตรงที่ซึ่งจะก่อสร้างพระแท่น การก่อสร้างวัดเซนต์หลุยส์นี้ได้ใช้งบประมา ณจาก 3 ฝ่ายด้วยกันคือ เป็นเงินส่วนตัวของพระสังฆราชหลุยส์โชแรง, จากเงินของญาติพี่น้องของพระสังฆราชโชแรงจากต่างประเทศ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินสมทบจากพี่น้องคริสตัง ในประเทศไทย วัดเซนต์หลุยส์ได้ตั้งชื่อตามศาสนนามของผู้สร้างวัดนี้ทำพิธีเสกและเปิดวัดอย่างสง่าที่สุดในวันที่25สิงหาคม1957 มีพระสังฆราชทุกองค์ในประเทศไทย และบางองค์จากประเทศลาว และพม่ามาร่วมพิธีด้วย
วันที่ 15 สิงหาคม 1957พระสังฆราชโชแรงได้แต่งตั้งคุณพ่อมีแชล ลังเยร์ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดเซนต์หลุยส์ เนื่องจากคุณพ่อเคยอยู่ในประเทศจีนมาก่อน รู้นิสัยใจคอของคนจีนและภาษาจีนอยู่ไม่น้อย จึงสามารถดูแลทั้งคริสตังชาวจีนแถบเซนต์หลุยส์ และชาวต่างประเทศที่มาติดต่อด้วย พระสังฆราชโชแรงสร้างวัดนี้ให้เป็นของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ แต่ท่านต้องการใ ห้มิชชันนารี M.E.P. เป็นเจ้าอาวาสตลอดไปจึงทำสัญญากับแขวง M.E.P.ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผู้เสนอมิชชันนารีของคณะให้พระสังฆราชรับรองเป็นเจ้าอาวาส ดังนั้นหลังจากคุณพ่อลังเยร์ ก็มีคุณพ่อลาบอรี, คุณพ่อมังซุย มาเป็นเจ้าอาวาส ที่สุดทางแขวง M.E.P. (กรุงเทพฯ) ได้แจ้งแก่พระอัครสังฆราช มีชัย กิจบุญชู ว่าเป็นการยากสำหรับคณะที่จะสนองความต้องการขอ งพระสังฆราชโชแรงได้ จึงขอมอบวัดเซนต์หลุยส์ให้อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯโดยสมบูรณ์ เป็นผู้แต่งตั้งพระสงฆ์ไทยเป็นเจ้าอาวาสต่อไป
ในวันที่ 25 สิงหาคม 1956 มีพิธีเสกไม้กางเขนปักไว้ตรงที่ซึ่งจะก่อสร้างพระแท่น การก่อสร้างวัดเซนต์หลุยส์นี้ได้ใช้งบประมา ณจาก 3 ฝ่ายด้วยกันคือ เป็นเงินส่วนตัวของพระสังฆราชหลุยส์โชแรง, จากเงินของญาติพี่น้องของพระสังฆราชโชแรงจากต่างประเทศ และอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินสมทบจากพี่น้องคริสตัง ในประเทศไทย วัดเซนต์หลุยส์ได้ตั้งชื่อตามศาสนนามของผู้สร้างวัดนี้ทำพิธีเสกและเปิดวัดอย่างสง่าที่สุดในวันที่25สิงหาคม1957 มีพระสังฆราชทุกองค์ในประเทศไทย และบางองค์จากประเทศลาว และพม่ามาร่วมพิธีด้วย
วันที่ 15 สิงหาคม 1957พระสังฆราชโชแรงได้แต่งตั้งคุณพ่อมีแชล ลังเยร์ เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดเซนต์หลุยส์ เนื่องจากคุณพ่อเคยอยู่ในประเทศจีนมาก่อน รู้นิสัยใจคอของคนจีนและภาษาจีนอยู่ไม่น้อย จึงสามารถดูแลทั้งคริสตังชาวจีนแถบเซนต์หลุยส์ และชาวต่างประเทศที่มาติดต่อด้วย พระสังฆราชโชแรงสร้างวัดนี้ให้เป็นของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ แต่ท่านต้องการใ ห้มิชชันนารี M.E.P. เป็นเจ้าอาวาสตลอดไปจึงทำสัญญากับแขวง M.E.P.ในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นผู้เสนอมิชชันนารีของคณะให้พระสังฆราชรับรองเป็นเจ้าอาวาส ดังนั้นหลังจากคุณพ่อลังเยร์ ก็มีคุณพ่อลาบอรี, คุณพ่อมังซุย มาเป็นเจ้าอาวาส ที่สุดทางแขวง M.E.P. (กรุงเทพฯ) ได้แจ้งแก่พระอัครสังฆราช มีชัย กิจบุญชู ว่าเป็นการยากสำหรับคณะที่จะสนองความต้องการขอ งพระสังฆราชโชแรงได้ จึงขอมอบวัดเซนต์หลุยส์ให้อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯโดยสมบูรณ์ เป็นผู้แต่งตั้งพระสงฆ์ไทยเป็นเจ้าอาวาสต่อไป
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม
บริเวณโถงกลางเป็น Point Arch ซึ่งเป็นลักษณะหนึ่งของโกธิค วัสดุที่ใช้เป็นอิธก่อ แต่ยังผสมผสานงานระบบสมัยใหม่เข้าไปด้วย เช่นการปรับอากาศภายในอาคาร บริเวณ Choir มี Sky light อยู่ตรงกลาง เพื่อให้แสงเข้ามาภายในอาคารและบริเวณยอดของอาคาร เป็นหอระฆัง
อ้างอิง (Reference)
- Fletcher, Banister (2001). A History of Architecture on the Comparative method. Elsevier Science & Technology. ISBN 0-7506-2267-9.
- Harvey, John (1950). The Gothic World, 1100–1600. Batsford.
- Megan Aldrich, Gothic Revival. (London: Phaidon) 1994. The most recent summing-up.
- http://gothicarchitecture1907.blogspot.com/2013/07/blog-post.html
- http://yn-nat.blogspot.com/2010/09/gothic-revival-architecture.html